เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ เม.ย. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราฟังธรรมะเพราะเรามาวัด เราชาวพุทธ วันนี้วันผู้สูงอายุ วันครอบครัว วันนี้วันจำเป็นมากนะ มันเป็นเรื่องฤดูกาลด้วย แล้วก็ปฏิทิน ถ้าเป็นปฏิทิน วันนี้วันผู้สูงอายุ วันครอบครัว วันครอบครัวนะ ประเพณีของเรา วัฒนธรรมประเพณีมันมาจากมนุษย์ มนุษย์สะสมมาๆ มันอยู่กับกาลเวลา เวลามันสมดุลของมัน แต่เวลาโลกเจริญๆ เราต้องการปีใหม่ๆ เพื่อให้ทันโลกไง

ดูสิ เวลาวันครอบครัว เวลาวันสงกรานต์แล้วเราจะกลับบ้านกลับเรือนของเรา พ่อแม่ก็นั่งโหยหานะ ลูกเรากลับมาหรือไม่กลับมา ถ้าลูกเรากลับมามันก็มีความสุขใจ กลับมากราบพ่อกราบแม่ มีสิ่งใดมาฝากพ่อฝากแม่ ติดมือมาเล็กน้อยพอ พ่อแม่ต้องการพบหน้าลูก พ่อแม่ไม่ต้องการรางวัลสินจ้างหรอก เว้นไว้แต่ทางเศรษฐกิจ เขาส่งลูกไปทำงาน เขาก็หวังเพื่อพึ่งอาศัย การพึ่งอาศัย เราเกิดมา นี่ผลของวัฏฏะ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เราได้ชีวิตนี้มา เวลาเราทุกข์เรายาก เราว่าเราทุกข์เรายาก แต่เราได้ชีวิตนี้มา เพราะมีชีวิตนี้มันถึงได้แสวงหาอยู่อย่างนี้ไง ถ้าเราแสวงหาที่ดี เราเกิดมามีบุญกุศล เกิดมาทำอะไรประสบความสำเร็จ เพราะชีวิตนี้มีมันถึงประสบความสำเร็จ ชีวิตของเราถ้ามันขาดตกบกพร่อง มันขาดตกบกพร่องเพราะเวรเพราะกรรม ถ้าเพราะเวรเพราะกรรม “พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์สิ คำก็เวร สองคำก็เวร เวรอะไรล่ะ” เพราะเวรเพราะกรรม จริตนิสัยมันถึงเป็นแบบนี้ไง

คนเรา ถ้าเป็นคนที่จริตนิสัยที่ดี อ่อนน้อมถ่อมตน ไปทำสิ่งใดมีแต่คนเขาเมตตา เขาส่งเสริม เขาเกื้อกูลกัน ถ้าคนเราทิฏฐิมานะ ถือแต่ความเห็นของตัวเป็นใหญ่ ไปที่ไหน ทำงานที่ไหนมันก็ขัดแย้งไปที่นั่น ที่นั่นเขาไม่ต้องการรับไว้ในที่ทำงานของเขาด้วย เขาขัดแย้งออกไป

ถ้าชีวิตนี้เราอ่อนน้อมถ่อมตนของเรา มันมีคนเมตตา ถ้ามีคนเมตตา ไปทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จมันเรื่องภายนอกนะ แต่เรื่องภายในคือเรื่องหัวใจนะ ถ้าเรื่องหัวใจ เห็นไหม เวลาเราได้ชีวิตนี้มา ชีวิตนี้มาเพื่อสิ่งใดล่ะ ชีวิตนี้มาเพื่อชาติเพื่อตระกูล พ่อแม่ได้ลูกได้เต้ามา ก็อยากให้ลูกเต้าของเรามีที่ยืนในสังคม คำสั่งของพ่อแม่คำแรกนะ “ขอให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกมีความสุข” เราก็อยากให้ลูกมีความสุขๆ แล้วเราไปบีบคั้นมันทำไม ลูกน่ะ

ก็ปล่อยเขา ปล่อยเขาตามอำนาจวาสนานะ เราต้องทำใจของเรา เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ชาวพุทธบอกสอนแล้วใช่ไหม กรรม สัตว์เกิดตามเวรตามกรรม เวลากรรมมันจำแนกสัตว์ให้เกิดแตกต่างกันไป ถ้าเกิดแตกต่างกันไป เรามีลูกหลายๆ คน ลูกของเรามันก็ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอก็ไม่เหมือนกัน ถ้าลูกคนไหนจิตใจดี เราก็ภูมิใจ เราก็ภูมิใจ ลูกคนไหนถ้าเขาเกเรหน่อย เราก็ดูแลของเรา เพราะว่ามันสายเลือดของเรา

มันเป็นสายเลือดของเรานะ ถ้าเราไม่ดูไม่แลเข้าไปนะ สังคมเขาก็บอกพ่อแม่ไม่สั่งสอน ถึงอีก มันไปทำอะไรเสียหาย พ่อแม่ไม่สั่งสอนอีก อ้าว! พ่อแม่สั่งสอนแล้วมันไม่ฟัง อ้าว! ถ้ามันไม่ฟัง นั่นมันเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องเวรเรื่องกรรม แต่เราก็ต้องทำ เพราะเราเลือกไม่ได้ นิ้วมือเรายังไม่เท่ากัน ในครอบครัวของเราไม่เท่ากัน

วันนี้วันครอบครัว ถ้าวันครอบครัว เรากลับบ้านกลับเรือนไปกราบพ่อกราบแม่ แค่ให้พ่อแม่เห็นหน้าเท่านั้นแหละ พ่อแม่เห็นหน้านะ เออ! มาแล้วก็ภูมิใจ มาแล้วก็ปลื้มใจ นี่วันครอบครัว กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ถ้าคนดี มันเป็นฤดูกาล มันเป็นปฏิทิน แต่เวลามันเป็นความสุข ความสุขในครอบครัวของเรา ความสุขในชุมชนนั้น ในชุมชนนั้นพึ่งพาอาศัยกัน ในชุมชนนั้นยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน ประเพณีวัฒนธรรมมันขายได้ พอมันขายได้ ตอนนี้เวลาสงกรานต์ไปอยู่กลางถนนหมดเลย จะไปฉีดน้ำเขาอยู่นั่น มันไม่ไปดูพ่อดูแม่เลยล่ะ ไปดูพ่อดูแม่แล้วออกมาสนุกครึกครื้นบ้าง อ้าว! ครึกครื้นบ้าง ครึกครื้นบ้างมันมาจากวัฒนธรรมประเพณีของเรานะ วัฒนธรรมประเพณีมันมาจากไหน? มันมาจากมนุษย์นะ มนุษย์มาจากไหน? มนุษย์เกิดมาจากพ่อจากแม่นะ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มานะ แล้วพ่อแม่มาจากไหน? พ่อแม่มาจากปู่ย่าตายายไง

เราจะบอกว่าจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งที่ได้มาๆ เพราะมันมีจิตอยู่แล้วมันถึงเวียนว่ายตายเกิด ถ้ามันเวียนว่ายตายเกิดในเทวดา อินทร์ พรหม มันก็เป็นความสุขชาติหนึ่ง ถ้ามันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา มันตกนรกอเวจีขึ้นมา มันมีแต่ความกดดันในหัวใจนั่นน่ะ เวลามันหมดเวรหมดกรรมแล้วมันก็มาเกิดเป็นมนุษย์ พอมาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร? พระพุทธศาสนาสอนเรื่องให้เสียสละ ให้จาคะ ให้เห็นน้ำใจต่อกัน

คนมีน้ำใจต่อกัน คนมีน้ำใจต่อกัน เห็นไหม กลิ่นของศีลหอมทวนลม “คนเป็นคนดี ลูกไอ้นั่นเป็นคนดี ลูกไอ้นั่นเป็นคนดี” นี่กลิ่นของศีลมันหอมทวนลม คุณงามความดีของเรามันจะหอมทวนลม แม้แต่มีคนขัดแย้ง มีคนไม่พอใจ มันเป็นเรื่องของเวรของกรรม เราจะให้คนทุกคนเห็นตามกับเราไปไม่ได้ เราทำคุณงามความดีของเรานะ คุณงามความดีของเรา สุจริตมันคุ้มครองเรา เราทำสิ่งใด ความถูกต้องดีงามมันคุ้มครองหัวใจดวงนี้ ถ้าคุ้มครองหัวใจดวงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำคุณงามความดีไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดีตลอดไป แต่ทำไมเราทำคุณงามความดีแล้วเราทุกข์ยากกันขนาดนี้ ถ้าเราทำคุณงามความดีแล้วทุกข์ยากขนาดนี้ ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดีแล้วมันจะไปถึงไหน

ทำคุณงามความดี ความดีมันหนุนเรา เช่น เราเกิดเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันรับสถานะจิตดวงนี้ไว้ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ คนทำผิดพลาดในสังคมนี้เขาต้องเอาไปติดคุก เขาจะให้ผลทันที คนทำบุญกุศลเขาชื่นชม

จิตนี้ๆๆ จิตนี้มันสร้างบุญกุศล มันทำคุณงามความดี ทำชั่วอย่างนี้แล้วบอก “ทำชั่วไม่เห็นผล มันไม่ให้ผลมัน”

ให้มันขาดจากลมหายใจสิ ถ้าจิตมันออกจากภพชาตินี้ เพราะเป็นวาระ สถานะ มิติหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง ความเกิดหนหนึ่ง แล้วเกิดมาทำดีทำชั่วมันอยู่ที่อำนาจของเรา ถ้าเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชี้เข้ามาที่นี่ไง

มาทำบุญๆ ทำบุญสิ่งนี้มันเป็นการเสียสละ เสียสละอะไร? เสียสละคือมันต้องมีเจตนา มันมีเจตนา มีความรู้สึกนึกคิด มันถึงหัดเสียสละ เสียสละนี้เสียสละเป็นวัตถุ เสียสละเป็นวัตถุแล้วเราต้องการคุณงามความดี ต้องการ เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

เราก็ปรารถนาความสุขๆ ความสุขของเราก็อยากจะมีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน จะมีเงินทองมหาศาลว่าเป็นความสุข เราคิดอย่างนั้นไง แต่คนที่มีเงินทองมหาศาล เวลาเขาจะตายพลัดพรากจากเงินทองของเขา เขาจะมีความทุกข์ความยากของเขามหาศาลเลย “สิ่งที่เราหาไว้นี้ใครจะดูแลต่อไป สิ่งที่หาไว้นี้มันจะเป็นประโยชน์กับโลกหรือไม่ สิ่งที่เราหาไว้นี้ลูกหลานเรามันจะรักกันชอบกัน มันจะไม่แก่งแย่งกันหรือไม่” เวลาจะตายไปมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น

แต่ความสุขๆ ล่ะ พระพุทธศาสนาสอนถึงวิมุตติสุขๆ วิมุตติสุขมันหาที่ไหน

สงกรานต์ก็เที่ยวกันรอบโลก ไปหาความสุขกันไง แต่พวกเรา สงกรานต์ไปวัด ไปวัดไปวา ไปวัด ดูสิ เวลาวันครอบครัวเขาไปหาพ่อหาแม่ของเขา ในครอบครัวนั้นมากันครบหน้าครบตามีความสุขนะ เราไปวัดไปวาขึ้นมา เราจะหามรรคหาผลของเราไง ถ้าหามรรคหาผลของเรา มรรค ๘ สติชอบ ปัญญาชอบ สมาธิชอบ ปัญญาชอบ ระลึกชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมของใจ ถ้าใจมีความชอบธรรมของมัน

เราอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานมาทั้งปี เราทุกข์เรายากกันมาตลอด มันบีบคั้นในหัวใจ สิ่งใดปรารถนา สมความปรารถนาก็เป็นสุขนิดหนึ่ง สุขนิดหนึ่งนั้นเขาเรียกว่าอามิส สิ่งที่สมความปรารถนานั้นเป็นความสุข ถ้าปรารถนาแล้วไม่ได้สมความปรารถนา มันขัดแย้ง มันไม่ได้ดั่งใจ นี่ความทุกข์ มันมีสุขมีทุกข์ในใจมาตลอด สิ่งนี้มันมีอยู่ของมันโดยดั้งเดิม

จิตนี้มันมีความรู้สึกนึกคิดเป็นอาหาร เป็นอารมณ์ความรู้สึก มันกินอารมณ์ความรู้สึกเป็นอาหารเป็นประจำ แต่เราเอาอารมณ์ความรู้สึกนี้ เอาความคิดนี้มาคิดงาน คิดงานทำหน้าที่การงาน เราเอาสิ่งนี้มาคิดงานทำงาน สิ่งนี้มันเป็นภาระ มันเหนื่อยล้ามาตลอด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” แต่เราวางใจของเราไม่ได้ เราทำความสงบของใจเราไม่ได้ เวลาสงกรานต์ วันหยุด เรากราบพ่อกราบแม่ เราไปดูพ่อแม่เราแล้วเราก็มาวัดมาวาเพื่อจะหา จะหามรรคหาผลในหัวใจของเรา ถ้าหามรรคหาผลในหัวใจของเรา เห็นไหม ทำบุญกุศลจบแล้ว มันเป็นอามิส เราได้ทำแล้ว ทานก็ได้ทำแล้ว ศีลก็ได้วิรัติแล้ว ขาดอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ขาดความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ หาหัวใจของเราให้เจอไง

ถ้าหาหัวใจของเราให้เจอ ถ้ามันมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มันมีมรรค ๘ ครอบครัวของมรรค มรรคผลมันจะเป็นประโยชน์กับในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเรา เราแสวงหาสิ่งนี้ไง สิ่งที่เราแสวงหามันเป็นนามธรรมทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นนามธรรม พิสูจน์ได้ไหมว่าชีวิตนี้เกิดมา จิตนี้มาจากไหน เกิดมาทำไม มาแล้วเวลาตายแล้วไปไหน วิทยาศาสตร์พยายามพิสูจน์ๆ...พิสูจน์ไม่ได้หรอก มันยังไม่มีเครื่องใดไปพิสูจน์ แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ในพระพุทธศาสนานี้ จิตเวียนว่ายตายเกิดก็เอาจิตพิสูจน์มัน พุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วก็เอาใจตัวนี้พิสูจน์ใจเราไง ใจเรามันจะเกิดมรรคเกิดผล

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง ทวนกระแสกลับเข้ามาที่ความรู้สึกของเรานี่ไง ถ้าความรู้สึกของเรา เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จทางโลก นี่บุญกุศล ผลของวัฏฏะ ผลของบุญมันเวียนว่ายตายเกิด ผลของบุญ สูงๆ ต่ำๆ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ มันมีของมันอยู่ตลอดไปอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เห็นไหม ภพชาติหนึ่งๆ เราเกิดมาได้สร้างบุญกุศลไว้ขนาดไหน ภพชาติหน้าเราเกิดไป บุญกุศลได้ใช้มากแล้ว มันเกิดสภาวะแบบไหน มันเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้ มันมีเวรมีกรรมต่อกันไง เพราะว่ามีเวรมีกรรมต่อกัน มันถึงเกิดมามีผลกระทบกระเทือนกันไง เวลามีผลกระทบกระเทือน เรากระทบกระเทือนในภพชาตินี้ เรามีสติเราก็ไม่อยากให้สิ่งนี้กระทบเราเลย

แต่ถ้าเรามีอำนาจขึ้นมา เรามีน้ำใจต่อลูกน้องเราไหม เรามีน้ำใจต่อสังคมไหม เรามีอำนาจ แต่เขาจะมีความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เด็กทำงานมันก็มีผิดบ้างถูกบ้างเป็นเรื่องธรรมดา เราก็ต้องฝึกฝน เราก็ต้องดูแล ถ้าจิตใจของเราเป็นธรรมนะ ถ้าใจเป็นธรรม เราทำแต่คุณงามความดีของเรา ใครจะติเตียน ใครจะว่าอย่างไรเรื่องของเขา เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือความรู้สึกในใจนี้ เรื่องของเรา เรื่องนั้นมันเรื่องของเขา โลกธรรม ๘ ติฉินนินทามันมีมาแต่ก่อนมีศาสนา คำติฉินนินทามันมีมาแต่ดั้งเดิม โลกธรรม ๘ มันมีของมันอยู่แล้ว แล้วเราเอาชีวิตเราเข้าไปให้มันโดนผลกระทบกับโลกธรรม ๘ หรือ

เราวางสิ เรามีสติ นั้นมันของเขาคืออยู่ข้างนอกไง ของเขาคืออยู่นอกกายของเรา เราฉลาดหรือเราโง่ล่ะ ถ้าเราฉลาด เราก็เก็บเกี่ยวเอาสิ่งที่ดีงามมาเพื่อประโยชน์กับเราใช่ไหม แต่ถ้าเราโง่ล่ะ เราโง่ เราก็ไปคว้าเอาฟืนเอาไฟเข้ามาเผาเราใช่ไหม

แต่ถ้าเราทำใจของเราสงบล่ะ ถ้าใจเราสงบแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

สงกรานต์เขาเที่ยวกันรอบโลก กลับมา คอยดูสิ ในบัตรเครดิตมันจะมีตัวเลขเต็มไปหมดเลย ของเรามาวัดมาวานะ ถ้าเราทำความสงบของใจได้ ใจเราจะมีความสงบมีความระงับ กลับบ้านก็ชื่นบาน บัตรเครดิตก็ไม่มีตัวเลขเพิ่ม ไม่มีอะไรเพิ่มเลย แต่หัวใจผ่องแผ้ว หัวใจผ่องแผ้วที่ว่า ดูสิ เวลาสงกรานต์ คนทั่วโลกทำไมมาเที่ยววัฒนธรรมของเราล่ะ เวลาหัวใจของเรา ถ้าเราหาของเราเจอ คนอื่นเขาหาไม่เจอ แต่เราหาเราเจอ ถ้าเราหาเราเจอ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาแยกแยะ นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏแล้ว ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏนะ

“สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล”

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ถ้าไม่มีเหตุมันก็ไม่มีผล เราจะเอาผล มันต้องมีเหตุ เราจะเอาผลนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี สมบุกสมบันมาขนาดไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เอง มาสมบุกสมบันในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ อัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม

เวลาท่านสอน สอนตามความจริงๆ แล้วคนทำได้จริงมันจะสู่ความจริงอันนั้น แล้วธรรมวินัยมันมีอยู่แล้ว มันจะตกเป็นวัฒนธรรม จนมีวันสงกรานต์นี่แหละ ศาสนานี้มัน ๒,๐๐๐ กว่าปี ชาติไทยมัน ๗๐๐ ปีเท่านั้น แล้วเวลาพวกเรามาเกิดนะ เพราะมันตกผลึกมาจากวัฒนธรรมประเพณีไง มันถึงมามีอย่างนี้ไง แล้วเราจะไปตื่น ตื่นเอากับข้างนอกทำไม ถ้าเราตื่นข้างนอก เราก็จะเป็นเหยื่อ เราก็ต้องกระหืดกระหอบหาเงินหาทองมาเพื่อสนองตัณหาของตัว แต่ถ้าเราอยู่กับสังคม มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นโอกาสทำธุรกิจของเรา อ้าว! เราหาสินค้ามาขายให้พวกมันตื่น ขายเสร็จแล้วเราก็มาพุทโธ มันจะตื่นให้มันตื่นไป เพราะมันเป็นธุรกิจ มันเป็นเรื่องโลก

แต่เราต้องรู้จักตัวเราสิ อัตตสมบัติ เห็นไหม สมบัติทางโลกหามาไว้เป็นตัวเลข หามาไว้ในตู้เซฟ บุญกุศลหามาจากใจ หามาจากใจนะ โยมไม่มีเจตนา วันนี้โยมไม่ได้มาทำบุญที่นี่ หัวใจมันเรียกร้อง หัวใจมันแสวงหา มันถึงลากร่างกายนี้มา มันลากร่างกายนี้มาแล้ว ร่างกายที่มาโดยความจำเป็น ต้องมานั่งจำเป็นให้หลวงพ่อเทศน์อยู่นี่ เพราะมันหนีไม่ได้ วัฒนธรรมมันสั่งไว้ว่าเสียมารยาท ลุกไม่ได้ ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง

นี่ไง ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง มันเป็นโอกาสที่ว่าธรรมะได้แสดงตัวไง ธรรมะมันคืออะไร ธรรมะมันทำงานได้ไหม ธรรมะคือสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันทำงานได้ไหม แต่ธรรมะไปสถิตในหัวใจของใคร ถ้ามันสถิตในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สถิตในใจของครูบาอาจารย์ของเรา มันทำงานได้ ธรรมะมันทำงาน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรมมันอยู่ไหน

“ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ก็ลมพัดมาไง ลมพัดมา ธรรมชาติ แล้วทุกข์ไหมล่ะ

ถ้าเกิดศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาล่ะ เกิดสัจจะความจริงขึ้นมาล่ะ เห็นไหม

เขาบอกวันนี้วันครอบครัว วันครอบครัว วันผู้สูงอายุ เราจะบอกว่าเราเกิดมาเรามีพ่อมีแม่ มีญาติพี่น้อง ต้องมีความระลึกถึง เจอหน้าให้ยกมือไหว้ การยกมือไหว้ ผู้ใหญ่เขาปลื้มใจ เขาปลื้มใจว่าเรา วัฒนธรรมของเรา ลูกหลานของเรามันยังสำนึกได้ อ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้ใหญ่ เพราะว่าสิ่งนี้มันเป็นวัฒนธรรม แล้วมันเป็นการแสดงถึงวัฒนธรรม มันเป็นความสวยงามไง ทำเพื่อประโยชน์กับสังคม ทำเพื่อประโยชน์กับหัวใจของเรา แล้วเป็นตัวอย่างกับเด็กรุ่นต่อๆ ไป

มันจะเลยเถิดไปที่ท้องถนนต่างๆ นั้น มันเป็นเพราะโลก เพราะกระแส กระแสมันเป็นแบบนั้น แต่เราเป็นเจ้าของ เราเป็นคนไทย เราเป็นเจ้าของ เราต้องรักษาวัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมของเราคือนามธรรมนี่ไง คือน้ำใจนี่ไง คือความรู้สึกนึกคิดนี่ไง อย่างไรก็แล้วแต่ คนรอบข้างก็ต้องได้รับความกระทบกระเทือนจากเรา คนรอบข้างเขาอยู่ใกล้เราต้องได้รับความอบอุ่น คนรอบข้างเราจะต้องได้น้ำใจจากเรา แล้วถ้าข้างนอกมันกระทบกระเทือน มันพ้นจากวิสัยของเรา ถ้ามันอยู่ในวิสัยของเรา คนรอบข้างของเราต้องได้รับความอบอุ่นจากหัวใจของเรา เอวัง